Notice: Undefined index: USERDATA in /home/website/fda.go.th/wp-content/themes/e-school/header.php on line 207

ยาปฏิชีวนะ ใช้อย่างไรให้เหมะสม

หลายต่อหลายคนมักสับสน ระหว่าง “ยาแก้อักเสบ” กับ “ยาปฏิชีวนะ” ว่าใช่ยาชนิดเดียวกันหรือไม่ และฆ่าเชื้ออะไรได้บ้าง ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยา โรงพยาบาลเวชธานี จะพามาไขคำตอบนี้กัน


medicine


ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics หรือ Antibacterial) หมายถึง สารเคมีที่ได้จากเชื้อจุลชีพชนิดหนึ่งตามธรรมชาติ หรือ จากการสังเคราะห์ ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ส่วนการติดเชื้อชนิดอื่น เช่น ไวรัส เชื้อรา ไม่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะรักษาได้


ยาแก้อักเสบ หรือ ยาต้านการอักเสบ (Anti-Inflammatory Drugs) หมายถึง ยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ได้แก่ อาการปวด อาการบวมแดง และไข้ โดยไม่มีฤทธิ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าเชื้อจุลชีพ เช่น ยาไอบูโพรเฟ่น ยาไดโครฟีแนค และยาแอสไพริน เป็นต้น


จากข้อมูลข้างต้น บ่งชี้ได้ว่า ยาปฏิชีวนะ ต้องใช้กับโรคที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยในประเทศไทย ได้แก่

  • โรคปอดอักเสบ (Pneumonia)
  • วัณโรคปอด (Tuberculosis)
  • การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ (Urinary tract infections)
  • ต่อมทอนซิลอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacteria Tonsillitis)


ตัวอย่าง “ยาปฏิชีวนะ” ที่เป็นที่รู้จัก

  • เพนิซิลลิน (Penicillin)
  • อะม็อกซีซิลลิน (Amoxycillin)
  • แอมพิซิลลิน (Ampicillin)
  • อิริโทรไมซิน (Erythromycin)
  • เตตร้าไซคลิน (Tetracycline)
  • คลินด้าไมซิน (Clindamycin)
  • นอร์ฟรอกซาซิน (Norfloxacin)


3 ข้อสำคัญ ในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกวิธี : เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาโรค สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด คือการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกวิธี โดยต้องยึดหลัก 3 ประการนี้ในการใช้ยา

  1. รับประทานยาถูกขนาดตามที่แพทย์สั่ง
  2. รับประทานตรงตามกำหนดเวลา
  3. รับประทานจนครบจำนวน ครบระยะการรักษา ไม่หยุดยาก่อน 


ข้อเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะผิดวิธี

แบคทีเรีย เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถพัฒนาตัวเอง เพื่อป้องกันการถูกทำลายจากยาปฏิชีวนะ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผนังเซลล์ให้หนาขึ้น สร้างตัวปั้มเพื่อปั้มยาออกจากเซลล์ หรือสร้างตัวรับยาหลอก ๆ ให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อเซลล์ได้

ดังนั้น หากรับประทานยาปฏิชีวนะไม่ต่อเนื่อง ผิดขนาด หรือใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ กลับกลายเป็นว่า ปริมาณยาไม่เพียงพอที่จะฆ่าเชื้อให้ตายได้ แต่พอที่จะกระตุ้นให้เชื้อพัฒนาตัวเอง และดื้อยาในที่สุด ซึ่งในวงการสาธารสุข ทั้งในประเทศไทย และองค์การอนามัยโลก (WHO) ต่างให้ความตระหนักถึงเรื่องนี้ เพราะการเกิดเชื้อดื้อยาถือเป็นปัญหาระดับโลก และหากยังใช้ยาปฏิชีวนะผิดวิธีต่อไป ในอนาคตอาจเกิดปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อต่อยาทุกชนิด และไม่สามารถรักษาได้ 


ข้อควรรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะ

โดยปกติแล้วเชื้อที่ก่อโรคติดเชื้อทางเดินหายใจกว่า 80% มักเป็นเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไข้ ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะในการติดเชื้อไวรัส จะไม่เกิดประโยชน์อันใดในการรักษาโรค นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา และเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา เช่น ท้องเสีย เนื่องจากยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกาย ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และแพ้ยา เป็นต้น

ดังนั้น ก่อนรับประทานยาปฏิชีวนะ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยแยกโรคติดเชื้อที่ถูกต้อง หรือปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง

เมื่อทราบดังนี้แล้ว หากเกิดอาการเจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล มีไข้ต่ำ ๆ จึงสันนิฐานได้ว่าเกิดจากเชื้อไวรัส การดูแลตนเองเบื้องต้น เพียงแค่พักผ่อนทำร่างกายให้อบอุ่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ร่างกายของเราก็จะสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อสู้กับเชื่อไวรัสเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ตามสโลแกนของโครงการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผล (Antibiotics Smart Use Program) ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา “ใช้ยาสมเหตุผล ไม่จน ไม่แพ้ ไม่ดื้อยา”


แหล่งที่มา : https://www.vejthani.com/th/2018/04/antibiotic-smart-use

admin.fda
Administrator